ศาลจังหวัดนราธิวาส ตัดสิน กรณีขัดขวางการขุดพิสูจน์ศพชายนิรนาม

195

          จากกรณีพบศพชายนิรนาม ลอยอยู่ในแม่น้ำสุไหงโก-ลก ตำบลปาเสมัส อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา และต่อมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 ภรรยาและน้องสาวของ นายยาห์รี  ดือเลาะ ได้มาดูศพที่โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก พร้อมยืนยันกับเจ้าหน้าที่ว่าเป็นศพของ นายยาห์รี  ดือเลาะ โดยอ้างว่าจำรอยแผลเป็นที่ขาของศพได้ว่ามีลักษณะเหมือนกับรอยแผลเป็น ของ นายยาห์รี  ดือเลาะ พนักงานสอบสวนจึงลงบันทึกประจำวัน และส่งมอบศพให้นำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สำหรับ นายยาห์รี  ดือเลาะ มีประวัติเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรง ระดับสั่งการ และมีหมายจับ ป.วิอาญา ในคดีความมั่นคง รวม 3 หมาย โดยภายหลังจากการพบศพดังกล่าวได้มีสื่อสังคมออนไลน์และแนวร่วมผู้ก่อเหตุรุนแรงพยายามชี้นำบิดเบือนให้สังคมหลงเชื่อว่าการเสียชีวิตของ นายยาห์รีฯ เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งมีการเปิดรับบริจาคเงินโดยอ้างว่าจะนำมาช่วยเหลือครอบครัวของ นายยาห์รีฯ อีกทั้งจะส่งผลให้หมายจับคดีความมั่นคงที่มีทั้งหมดสิ้นสุดไปพร้อมกัน หากศพนั้น ได้รับการยืนยันว่าเป็นศพของ นายยาห์รีฯ จริง

          ต่อมาผลจากการตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือของ นายยาห์รี  ดือเลาะ ปรากฏว่าไม่ตรงกับแหล่งข้อมูลของสำนักทะเบียนประจำอำเภอ หรือฐานข้อมูลสำนักบริหารการทะเบียนกลาง กรมการปกครอง จึงเกิดข้อมูลที่ขัดแย้งกับการกล่าวอ้างของญาติ และความพยายามชี้นำของสื่อสังคมออนไลน์ เจ้าหน้าที่จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการขุดศพเพื่อชันสูตรให้ทราบว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร โดยได้ประสานไปยังผู้นำท้องถิ่น และผู้นำศาสนา รวมทั้งประสานญาติขอขุดศพขึ้นมาเพื่อตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ ในวันที่ 10 ธันวาคม 2565 แต่กลับพบว่าในวันดังกล่าวมีบุคคลบางกลุ่มปลุกระดมมวลชนและเครือญาติให้เข้ามาขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้ต้องชะลอการขุดศพออกไป จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อผู้ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว โดยแจ้งความไว้ ณ สภ.สุไหงปาดี

          ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2566 ศาลจังหวัดนราธิวาสได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขแดง 897 / 2566 คดีหมายเลขดำ อ. 753 / 2566 กรณีขัดขวางการขุดศพชายนิรนาม โดยผลตัดสินจำเลยคือ นางสาวนูรไฮนิง  ดือรอแม ภรรยาของนายยาห์รีฯ และ นางต่วนเมาะ  ต่วนดือเซ๊ะ มารดาของนายยาห์รีฯ ให้การรับสารภาพศาลลงโทษจำคุกคนละ 1 เดือน ปรับคนละ 5,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 1 ปี

          ทั้งนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนได้โปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้องโดยเฉพาะข่าวสารในสื่อโซเชียลที่มีความรวดเร็วในโลกปัจจุบัน รวมทั้งหากพบเบาะแสผู้ก่อเหตุรุนแรง สามารถเป็นหูเป็นตาช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ สามารถแจ้งได้ที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงประจำพื้นที่ หรือหมายเลขสายด่วนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า หมายเลข 1341 หรือ หมายเลขโทรศัพท์สายตรง แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 หมายเลข 061-1732999 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า