แถลงคืบหน้าการพูดคุยเพื่อสันติสุข​  แสงสว่างนำทางสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืน​

702

          คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้​ นำโดย​ พลเอก วัลลภ รักเสนาะ​ หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุข​ฯ​ พร้อมด้วย​ พลโท เกรียงไกร​ ศรีรักษ์​ แม่ทัพภาคที่​ 4, พลโท ธิรา  แดหวา​ แม่ทัพน้อยที่​ 4,​ พลโท​ สวัสดิ์​  ชนะจิตราสกุล​, นายฉัตรชัย​  บางชวด​ รองเลขาธิการ​ สมช.,​ พล.ต.ต.มณฑล​  บัวจีบ​, นายพลเทพ​  ธนโกเศศ​ และ​นางสาววันรพี  ขาวสะอาด​ ร่วมแถลงข่าว​ สรุปผลความคืบหน้า​การพูดคุยเพื่อสันติสุข​หลังจากร่วมประชุมหารือกับคณะผู้แทนกลุ่มแนวร่วม​ปฏิวัติแห่งชาติ​ หรือ​ BRN​  ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย​ ระหว่างวันที่​ 11 – 12​ มกราคม​ 2565 ย้ำการพูดคุยคืบหน้า​ทั้ง​ 2 ฝ่ายร่วมกำหนดสารัตถะ​ 3 ข้อ​ คาดปีนี้​เห็นผลคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม​

          พลเอก วัลลภ  รักเสนาะ​ หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้​ กล่าวว่า ผลการพูดคุยเมื่อวันที่​ 11 และ​ 12 มกราคม​ ที่ผ่านมา​ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฝั่งไทย​และคณะผู้แทน BRN นำโดยอุสตาส อานัส อับดุลเราะห์มาน​และคณะ​ โดยมี  นายตันซรี อับดุล ราฮิม บิน โมฮัมหมัด นอร์ เป็นผู้อำนวยความสสะดวกการพูดคุย​ และมีผู้เชี่ยวชาญร่วมสังเกตการณ์อีก 2 คน​ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยดีทั้ง​ 2 ฝ่าย​ มีท่าที​ที่มีมิตรไมตรีต่อกัน

          ทั้งนี้ หลังจากสถานการณ์โควิดทำให้กระบวนการพูดคุยประสบปัญหาในการเดินทางไปประชุมพูดคุยพบปะไม่สามารถดำเนินการ​ได้​ ทำให้การพูดคุยเกิดการชะลอไป​ แต่ทั้งสองฝ่ายได้พยายามสานต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขผ่านทั้งออนไลน์​ รวมถึงการติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ​ เพื่อให้การพูดคุยมีความคืบหน้า​ต่อเนื่อง​ จนนำไปสู่การผลักดันให้เกิดการประชุมแบบ​ Face to Face ที่ประเทศมาเลเซีย​ระหว่างวันที่​ 11 – 12 มกราคม​ 2565 โดยผลการหารือจากการประชุมดังกล่าว​มีข้อสรุปใน​ 3 ประเด็นหลัก​ ดังนี้​

ประเด็นแรก​ คือ​ ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยหารือ​และเห็นพ้องกันในเรื่องหลักการทั่วไป​ในกรอบ​สารัตถะ 3 เรื่อง​ คือ ​

1 การลดความรุนแรง

2 การปรึกษาหารือของประชาชนในพื้นที่

3 การแสวงหาทางออกทางการเมือง

ซึ่งทั้ง​ 3 เรื่องเป็นไปตามเจตนารมณ์และความต้องการของพี่น้องประชาชนในพื้นที่​ และครอบคลุมทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้​  นั่นคือ​การอยากเห็นความสงบสุขในพื้นที่​ การใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข​ และการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคประชาชน​ รวมทั้งอยากเห็นรัฐบาลแก้ไขปัญหาที่รากเหง้า​อันจะนำไปสู่การสร้างสันติสุขอย่างถาวร​ยั่งยืนต่อไป​

          ประเด็นที่​ 2 การจัดตั้งกลไก​ เพื่อมาขับเคลื่อนประเด็นสารัตถะของการพูดคุย​ โดยมีการพิจารณาที่จะจัดตั้ง​ ผู้ประสานงาน Joint​ working group ขึ้นมาในแต่ละประเด็น​ โดยเฉพาะ​ประเด็น​ การลดความรุนแรงและการเข้ามาปรึกษาหารือในพื้นที่​ ส่วนประเด็นการแสวงหาทางออกทางการเมือง​ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและละเอียดค่อนข้างมาก​ ก็จะใช้ลักษณะการจัดตั้ง​ Joint study group​ เข้ามาเพื่อศึกษาในรายละเอียดหาแนวทางที่เหมาะสม

          ทั้งนี้​ การจัดตั้งดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นแบบกึ่งทางการ​ ที่สามารถพบปะหารือติดต่อพูดคุย​กันได้โดยตรง​ เพื่อกำจัดจุดอ่อนในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19  ระบาด ที่ทำการประชุมอย่างเป็นทางการทำได้ค่อนข้างยาก​ การจัดตั้งลักษณะนี้ก็จะช่วยผลักดันให้ประเด็นสารัตถะต่างๆ​ คืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

          ประเด็นที่​ 3 ซึ่งเป็นประเด็นที่คณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทยได้หยิบยกขึ้นมา  คือ​ การลดกิจกรรมความรุนแรงลง​ของทั้ง​  2 ฝ่าย​ โดยความสมัครใจ​ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อการพูดคุยในครั้งต่อไป​ รวมทั้งต้องการให้ประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงประโยชน์ของการพูดคุยที่จะก่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในพื้น​ที่​  โดยคณะพูดคุยฝั่งไทยและกองทัพภาคที่​ 4 ได้มีการเตรียมการในเรื่องดังกล่าวไว้บางส่วนแล้ว

          อย่างไรก็ตาม​ การพูดคุยครั้งต่อไป​ ได้มีการหารือในที่ประชุมว่า  จะมีการพูดคุย​กัน 2-3 เดือนต่อครั้ง​ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ​สถานการณ์โควิดด้วย นอกจากนี้​ พลเอก วัลลภ ​ได้กล่าวทิ้งท้าย​โดยยืนยันว่า​ คณะพูดคุย​ได้มุ่งมั่น​ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล​ ในการขับเคลื่อนผลักดันให้กระบวนการพูดคุยเป็นหนทางที่สามารถสร้างสันติสุขในพื้นที่​ได้อย่างยั่งยืน​ พร้อมคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน​ ทั้งฝ่ายผู้เห็นต่างทุกกลุ่ม​ ไม่เฉพาะแต่กลุ่ม​ขบวนการ BRN​ รวมถึงภาคประชาชน​ เพื่อมาแสวงหาทางออกร่มกันต่อไป​

          โดยตลอดในห้วง​ 2 ปีที่มีการพูดคุยกับ​กลุ่ม​ BRN​ จากช่วงแรกที่มีความไม่วางวางใจกันจนถึงขณะนี้​ เริ่มมีความเชื่อมั่นกันพอสมควร​ ผลจากการพูดคุยครั้งนี้​ ถือว่ามีความก้าวหน้าที่ดีมาก​  นำมาสู่การกำหนดหัวข้อประเด็นสารัตถะกันได้  ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้กระบวนการพูดคุยดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น​​ โดยหนึ่งปีหลังจากนี้​คาดว่าจะมองเห็นความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น​ โดยเฉพาะ​การลดความรุนแรง และการเข้ามาปรึกษาหารือในพื้นที่ หลังจากนี้​ คณะพูดคุยจะต้องเร่งสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ให้รับทราบ​ คาดว่าภายใน​ 2 ปี​นี้จะเห็นความคืบหน้าในการพูดคุยเรื่องการแสวงหาทางออกทางการเมืองได้ต่อไป

ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า