คืบหน้าเหตุยิง-เผารถ สายบุรี ผลปืนชี้ชัดโยงกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่

1001

        ความคืบหน้าเหตุยิง-เผารถขนส่งสินค้า ที่สายบุรี จ.ปัตตานี  ผลการตรวจสอบปลอกกระสุนปืนในที่เกิดเหตุ ชี้ชัดเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ พบใช้ก่อเหตุมาแล้วกว่า 5 คดี ขณะที่กลุ่มแนวร่วมขบวนการออกมาปฏิเสธ บิดเบือนใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ หวังสร้างความแตกแยกในสังคม

        พันเอกเกียรติศักดิ์  ณีวงษ์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า ตามที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้าวีโก้ แบบตอนเดียวสีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน ผต 1917 สงขลา ซึ่งเป็นรถบรรทุกสินค้าประเภทโฟมและพลาสติกเพื่อนำไปส่งที่ จ.นราธิวาส หลังจากนั้นได้ลากตัวคนขับ ลูกสาว และหลานชายลงมาจากรถแล้วก่อนจะยิงซ้ำจนเสียชีวิต พร้อมจุดไฟเผารถทำให้เกิดเพลิงไหม้ทั้งคันโดยเหตุเกิดบริเวณร่องน้ำเกาะกลางถนนหมายเลข 42  บ.ละหาร ม.5 ต.ละหาร อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 64 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมและสร้างความสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง  และมีการประนามพฤติการณ์ของกลุ่มร้ายที่กระทำต่อผู้บริสุทธิ์ทางสื่อสังคมออนไลน์ในวงกว้าง

        ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้เร่งสืบสวนขยายผล โดยเฉพาะการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด พบผู้ต้องสงสัยจำนวน 4 คน โดยใช้รถจักรยานยนต์  2 คัน กำลังขยายผลติดตามตัว นอกจากนี้ ผลการตรวจสอบวัตถุพยานในที่เกิดเหตุพบว่า ผู้ก่อเหตุได้ใช้อาวุธปืนถึง 4 กระบอกในการก่อเหตุ ประกอบด้วย อาวุธสงคราม ปืน AK 102 , M 16 และ ปืนสั้นขนาด 9 มม. อีก 2 กระบอก ใช้กระสุนรวมกันถึง 52 นัด โดยเฉพาะ ปืน  AK 102 ที่มีประวัติใช้ก่อเหตุมาแล้ว 5 คดี ที่สำคัญประกอบด้วย คดีกราดยิงสถานียุทธศาสตร์มะนังดำลำ ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อ 23 ก.พ.61, คดียิงนาย คอเดร์ มะแด เสียชีวิตในร้านน้ำชาที่ ต.พ่อมิ่ง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี , คดียิงรถบรรทุก 6 ล้อ ส่งสินค้า เหตุเกิดในพื้นที่ ตงละหาร อ.สายบุรี จ.ปัตตานี , และยิงทหารพรานได้รับบาดเจ็บในพื้นที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เมื่อ 9 ต.ค.63 ส่วน ปืนสั้น อีก 2 กระบอก ใช้ก่อเหตุรวมกัน 8 คดี เป็นเหตุการณ์ความมั่นคง 6 คดี ทำให้เชื่อได้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นการกระทำของกลุ่มแนวร่วมขบวนการที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ ที่ได้ปฏิบัติการตอบโต้เจ้าหน้าที่ จากกรณีที่ เจ้าหน้าที่ยิงปะทะกับกลุ่มคนร้ายที่ขว้างระเบิดไปป์บอมบ์ใส่ฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองตำบลลูโบะบายะ ในพื้นที่ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส จนคนร้ายเสียชีวิต 1 คน และถูกจับได้ 2 คน เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 22 เม.ย.64 ที่ผ่านมา

        ขณะที่ฝั่งแนวร่วมขบวนการ ได้ออกมาปฏิเสธการกระทำดังกล่าวทันที โดยได้เผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์อ้างว่า กลุ่ม BRN เพิ่งสูญเสียทหารในการปฏิบัติการที่ผ่านมา และอยู่ในช่วงไว้อาลัยให้ครบ 7 วัน และมีคำสั่งให้หน่วยกำลังหยุดปฏิบัติการในห้วงเวลาดังกล่าว พร้อมได้บิดเบือนให้เข้าใจผิดว่าเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำ เพื่อหวังใส่ร้ายเจ้าหน้าที่และสร้างความแตกแยกในสังคมระหว่างไทยพุทธและมุสลิม

        และล่าสุดเมื่อช่วงเย็นวานนี้ (วันที่ 25 เม.ย. 64) เกิดเหตุคนร้ายขับขี่รถจักรยานยนต์ใช้ระเบิดแสวงเครื่องไปป์บอมบ์ขว้างใส่ จุดบริการประชาชน ทำให้ เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรจะกว๊ะ เสียชีวิต 1 นาย และ ได้รับบาดเจ็บอีก จำนวน 1 นาย ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ได้สวนทางกับที่เผยแพร่ ทางเพจเฟสบุ๊คของ BRN ที่ออกมาระบุว่าจะหยุดปฏิบัติการ 7 วันเพื่อไว้อาลัยให้กับสมาชิกที่เสียชีวิตกอ.รมน.ภาค 4 สน. จึงขอให้พี่น้องประชาชน โปรดได้ใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข่าวสาร ในขณะนี้ ด้วยการวิเคราะห์ และประมวลผลจากช่องทางที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อจากการปฏิบัติการข่าวสารจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงและแนวร่วมที่มุ่งหวังสร้างความเข้าใจผิดและความแตกแยกให้เกิดขึ้นในพื้นที่  ประกอบกับในห้วงเวลานี้ เป็นห้วงเดือนรอมฎอนอันประเสริฐของพี่น้องมุสลิมทั่วโลก เป็นช่วงเวลาแห่งการทำความดีละเว้นความชั่วทั้งปวง แต่กลุ่มผู้ก่อเหตุกลับมุ่งที่จะสร้างสถานการณ์ทำลายชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยความโหดเหี้ยม อันเป็นพฤติกรรมที่ขัดกับหลักคำสอนของศาสนาอย่างร้ายแรง

        ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยังคงเพิ่มมาตรการในการควบคุมพื้นที่ให้ปลอดภัยควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะในห้วงเดือนรอมฎอน จึงขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชนให้ช่วยกันเฝ้าระวัง หากพบเห็นสิ่งผิดปกติ หรือบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ สามารถแจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์สายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 โทร 061 – 173 – 2999 หรือเบอร์สายด่วน 1341 และหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า