ทำผิดกฎหมายในคดียุยงปลุกปั่น ไม่ใช่เพราะแต่งชุดมลายู

          หลังศาลจังหวัดปัตตานีนัดสืบพยานในคดีที่พาดพิงถึงแกนนำนักกิจกรรม 9 คน หลายกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ได้เผยแพร่ข้อมูลคลาดเคลื่อนว่า นักกิจกรรมทั้ง 9 คนถูกฟ้องเนื่องจาก “การแต่งกายชุดมลายู” หรือ “แสดงออกทางวัฒนธรรมในพื้นที่สาธารณะ” ซึ่ง ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และอาจสร้างความเข้าใจผิดในสังคม

          กรณีนี้เกิดขึ้นจากกิจกรรมที่จัดโดย “สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (CAP)” เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2565 บริเวณหาดวาสุกรี อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เจ้าหน้าที่พบว่ากิจกรรมดังกล่าวมี เนื้อหาและการแสดงออก ที่เข้าข่ายยุยงปลุกปั่น เช่น การแสดงธงของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน (BRN), การกล่าวถ้อยคำบนเวที เช่น “เยาวชนต้องลุกขึ้นสู้เพื่อเอกราชปาตานี”, การประกาศให้ “วันรายอที่ 3” เป็น “วันเยาวชนแห่งชาติปาตานี” รวมถึงการร้องเพลงปลุกใจที่มีเนื้อหาชักชวนให้รวมตัวต่อต้านรัฐ

          ในคดีนี้คณะพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานและมีความเห็นควรส่งฟ้องผู้จัดกิจกรรมรวม 9 คน ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ร่วมกันทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือด้วยวิธีอื่นใดอันมิใช่กระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน , มาตรา 209 ความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ , มาตรา 210 ความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร และดำเนินคดีตาม พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กรณีการชุมนุมฝ่าฝืนมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19

          ศาลจังหวัดปัตตานีได้นัดสืบพยานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยอย่างต่อเนื่อง 9 ครั้ง คือ ในห้วงวันที่ 29 – 31 กรกฎาคม 2568 (จำนวน 3 ครั้ง), วันที่ 5 – 6 สิงหาคม 2568 (จำนวน 2 ครั้ง) และวันที่ 26 – 29 สิงหาคม 2568 (จำนวน 4 ครั้ง) โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เป็นอีกหนึ่งวันในการสืบพยานที่อยู่ในแผนดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม ในขณะเดียวกันยังคงมีสื่อสังคมออนไลน์แนวร่วมกลุ่มแกนนำของผู้จัดกิจกรรมพยายามนำเสนอข้อมูลบิดเบือนชี้นำสังคมให้เกิดความเข้าใจผิดว่า คดีนี้เกี่ยวข้องกับ “การแต่งชุดมลายู” หรือ “กิจกรรมวัฒนธรรมในพื้นที่” ซึ่ง ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และอาจสร้างความสับสนแก่ประชาชน โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอยืนยันว่า ไม่ใช่คดีที่เกี่ยวข้องกับการแต่งกายชุดมลายู ตามที่มีความพยายามสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสื่อสังคมออนไลน์บางสื่อ

          กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินคดีกับใครเพียงเพราะการแต่งกายแบบมลายู หรือการแสดงอัตลักษณ์ท้องถิ่น ในทางตรงกันข้าม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้พยายามส่งเสริมอัตลักษณ์ การแต่งกาย ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ดังจะเห็นได้จากการกำหนดงานการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นหนึ่งในงานนโยบายสำคัญของผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หน่วยงานรัฐพร้อมเปิดรับข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์ และยังคงสนับสนุนอัตลักษณ์ของประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมสร้างสันติสุขและความเข้าใจที่ถูกต้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

          กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า จึงขอสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนอีกครั้งว่าคดีดังกล่าวเป็น “คดียุยงปลุกปั่น” ที่มีรายละเอียดการปฏิบัติในกิจกรรมอันมีลักษณะขัดต่อกฎหมาย ขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ ไม่หลงเชื่อข่าวสารที่บิดเบือน

แม่ทัพภาคที่4 แม่ทัพไพศาล

ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า

เนื้อข่าวภาษารูมี

Kesalahan bukan sebab pakai baju Melayu, tapi sebab hasutan.

          Baru-baru ini, ada berita di media sosial yang kata 9 orang aktivis sedang dibicara di mahkamah sebab pakai baju Melayu atau buat aktiviti budaya di tempat awam. Tapi ini tidak benar. Sebenarnya mereka didakwa kerana buat aktiviti yang dianggap menghasut orang ramai.

          Kes ini berlaku masa satu program oleh kumpulan CAP (Samacha Prachasongkrom) pada 4 Mei 2022 di Pantai Wasukri, daerah Saiburi, Patani. Dalam program tu ada beberapa benda yang dianggap bahaya oleh pihak berkuasa, macam:

Tunjuk bendera kumpulan pemisah (BRN),

Ucapan atas pentas ajak anak muda “bangkit untuk merdeka Patani”,

Umum hari raya ke-3 sebagai “Hari Belia Nasional Patani”,

Nyanyi lagu semangat lawan kerajaan.

          Sebab itu, polis kumpul bukti dan dakwa 9 orang atas kesalahan:

Seksyen 116: hasutan untuk kacau bilau dalam negara,

Seksyen 209: jadi ahli geng haram (angyee),

Seksyen 210: buat kumpulan jahat (song jor),

Dan langgar undang-undang masa COVID-19 (Pemerintah Darurat).

          Mahkamah Patani sedang bicara saksi pihak pendakwa dan pihak pembela dari 29 Julai sampai 29 Ogos 2025, dalam 9 kali sesi. Tapi dalam masa tu, ada juga orang di media sosial yang cuba kelirukan masyarakat dengan kata kes ni sebab “pakai baju Melayu”. Sekali lagi, itu tidak benar.

          Pihak Keselamatan Dalam Negeri Bahagian 4 (ISOC Wilayah 4) tegaskan:

Tak ada siapa kena dakwa hanya sebab pakai baju Melayu atau tunjuk budaya tempatan.

Sebaliknya, pihak berkuasa selalu sokong budaya, agama, bahasa dan cara hidup orang tempatan. Ada banyak program yang dibuat untuk jaga keharmonian masyarakat berbilang budaya di selatan.

          Jadi, ISOC Wilayah 4 nak bagitahu rakyat semua:

Kes ni adalah kes hasutan, bukan sebab budaya atau pakaian.

Jangan mudah percaya berita yang tak betul. Sila semak maklumat sebelum percaya dan sebarkan.

#HariIbu #IbuTersayang #AnakTentera

#TenteraWilayah4 #KasihSayangIbu

#KomunikasiAwam

#KeselamatanSelatanThai

เนื้อข่าวภาษาอังกฤษ

The charges relate to incitement, not traditional Malay attire.

          Following the witness hearings at Pattani Provincial Court involving nine activists, several reports on social media have circulated misleading information, claiming that the prosecution stems from the individuals wearing traditional Malay clothing or expressing cultural identity in public spaces. This is not true and may lead to public misunderstanding.

          This case originated from an event organized by the Civil Society Assembly for Peace (CAP) on 4 May 2022, at Wasukri Beach in Saiburi District, Pattani Province. Authorities determined that certain elements of the event involved acts deemed to incite unrest, including:

Displaying the flag of a separatist group (BRN),

Public speeches such as “Youth must rise for the independence of Patani”,

Announcing the third day of Hari Raya as “Patani National Youth Day”,

And singing songs that encouraged anti-government sentiment.

          Investigators collected evidence and recommended prosecution of the nine organizers on the following charges:

Section 116 of the Thai Penal Code: Inciting unrest or disobedience among the population through speech, writing, or other means not protected under constitutional or good faith expression;

Section 209: Being a member of a secret society (Ang Yi);

Section 210: Participating in a criminal association (Song Jor);

Violating the Emergency Decree by organizing a public gathering in breach of COVID-19 health measures.

          Pattani Provincial Court has scheduled witness hearings for both prosecution and defense on nine occasions:

29–31 July 2025 (3 sessions),

5–6 August 2025 (2 sessions),

26–29 August 2025 (4 sessions).

The most recent hearing was held on 26 August 2025. These proceedings are part of the formal judicial process. However, certain social media accounts affiliated with the event organizers have continued to spread false narratives, claiming the case is about “traditional clothing” or “cultural activities,” which is entirely inaccurate and may mislead the public.

          The Internal Security Operations Command Region 4 Forward Command (ISOC Region 4) reaffirms that no individual has been prosecuted merely for wearing Malay attire or expressing local identity. On the contrary, ISOC Region 4 actively promotes and supports local cultural identity, including traditional clothing, religion, language, and customs. This is evident in the many initiatives designed to foster peaceful coexistence within a multicultural society—an ongoing priority policy of the ISOC Region 4 leadership.

          ISOC Region 4 urges the public to understand that this case is a matter of incitement under the law, not cultural expression. The public is encouraged to verify information carefully and avoid believing or sharing distorted or misleading news.

#FourthArmyRegionCommander

#CommanderPaisan

#PublicRelationsCenter

#ISOCRegion4ForwardCommand