ยุทธศาสตร์ BRN กับการ “สร้างความเกลียดชังรัฐไทย”

559

 ระบบของกลุ่มขบวนการ BRN ใช้ยุทธศาสตร์ “สร้างความเกลียดชังรัฐไทย” อย่างเป็นระบบ ผ่านหลายมิติ โดยเฉพาะการบิดเบือนประวัติศาสตร์ การสร้างอัตลักษณ์แบ่งแยกเชิงชาติพันธุ์ ศาสนา และการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อปลูกฝัง “อัตลักษณ์มลายูมุสลิมสร้างความเป็นปฏิปักษ์กับรัฐไทย” ประกอบด้วย

  1. การบิดเบือนประวัติศาสตร์ในระบบการศึกษา โดยกลุ่มขบวนการ BRN ได้จัดให้มีหลักสูตรทางเลือกแบบไม่เป็นทางการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการสนับสนุนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา (ตาดีกา และปอเนาะ) ให้มีเนื้อหาประวัติศาสตร์ที่เน้น “ความรุ่งเรืองของรัฐปัตตานีดั้งเดิม” และ “ความโหดร้ายของสยาม” ต่อชาวมลายูมุสลิม

              ประเด็นที่ถูกเน้น ได้แก่

                      การล่มสลายของรัฐปัตตานีโดยราชอาณาจักรสยามในศตวรรษที่ 18

                      การถูก “ครอบงำ” ด้วยภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมไทย

                      การอพยพบังคับชาวมลายูในยุครัชกาลที่ 5 และการ “ทำลายอัตลักษณ์ทางศาสนา”

 และ“กลุ่มแบ่งแยกดินแดนจำนวนมากได้สร้างตำนานแห่งความทรงจำว่ารัฐไทยเป็นผู้รุกราน ทำลายความสงบสุขของรัฐปัตตานีอันบริสุทธิ์ ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้น คือ ทำให้เยาวชนบางส่วนมีความเข้าใจผิดว่า “รัฐไทยยึดครองดินแดนของพวกเขา” และมองอำนาจรัฐเป็นผู้กดขี่อย่างแท้จริง บางโรงเรียนมีการจัดกิจกรรม “วันแห่งการรำลึกการเสียเอกราช” ที่มีการกล่าวคำสาปแช่ง “สยาม” อย่างเปิดเผย

  1. กลุ่มขบวนการ BRN ใช้การโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อใต้ดินและสื่อออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, YouTube, TikTok และ Instagram ที่ดำเนินการโดยเครือข่าย BRN หรือเอกสารใต้ดิน โดยใช้เทคนิคการเผยแพร่วิดีโอสารคดีเทียมที่กล่าวหา “ทหารไทยทำร้ายประชาชน” , การตัดต่อคลิปข่าวเพื่อใส่คำบรรยายบิดเบือน เช่น “รัฐไทยฆ่าอุสตาซ” หรือ การเผยแพร่บทกวี บทสวด และเพลงที่ปลุกระดมให้ “ต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีมลายูมุสลิม” โดยมีรัฐไทยเป็น “ศัตรูหลัก” เพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์ คือ เกิดการแบ่งแยกทางอารมณ์และการเมืองในหมู่เยาวชนที่ไม่เชื่อถือข่าวสารจากรัฐไทย , การสร้างความชอบธรรมให้กับ “การใช้ความรุนแรง” ในชื่อของ “การปลดปล่อยดินแดน”

  1. การสร้างอัตลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลไทยผ่านศาสนาและวัฒนธรรม รวมถึงต่อต้านการเรียนภาษาไทยในบางพื้นที่ โดยมองว่าเป็น “เครื่องมือของผู้รุกราน” และส่งเสริมความเคร่งครัดทางศาสนาในลักษณะที่ “ตัดขาดจากรัฐบาลไทย” เช่น การตั้งคณะกรรมการชุมชนศาสนาแยกจากรัฐ การจัดกิจกรรม“รำลึกถึงการล่มสลายของปัตตานี” โดยเปรียบรัฐไทยกับ “เจ้ายุทธจักรที่ไร้ความเมตตา”

  1. การใช้เหตุการณ์รุนแรงในอดีตเป็น ‘ความทรงจำร่วม’ โดยใช้เหตุการณ์หลักที่ถูกหยิบยก เช่น เหตุการณ์กรือเซะ เมื่อปี 2547, เหตุการณ์ตากใบ เมื่อปี 2547 “สร้างภาพเจ้าหน้าที่รัฐไทยเป็นฆาตกร” หรือการสร้างภาพของผู้เสียชีวิตว่าเป็น “ชะฮีด” (ผู้พลีชีพทางศาสนา) และรัฐบาลไทยคือ “ผู้ทำลายศาสนาอิสลาม” ทำให้ประชาชนในพื้นที่ รวมถึงเยาวชนมีความรู้สึกชิงชังต่อรัฐบาลไทยฝังลึกในจิตใจ ซึ่งไม่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะมีความพยายามอย่างไรในการสร้างสันติสุขในพื้นที่ ก็จะถูกมองว่าเป็นการ “หลอกลวง”

  1. การควบคุมพื้นที่ความคิดในชุมชนมุสลิม โดยกลุ่มขบวนการ BRN ใช้วิธีการเฝ้าระวังและควบคุมผู้นำศาสนาที่ “ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ” รวมถึงการคุกคามครูอาสาหรือผู้นำชุมชนที่พยายามสอนให้เยาวชน “อยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม” ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิด “เงื่อนไขทางสังคม” ที่เยาวชนจำนวนมากรู้สึกว่าการเป็นคนไทยคือการทรยศต่อบรรพบุรุษของตนเอง และความหวาดระแวงต่อโครงการของรัฐ เช่น โครงการสันติสุข, การศึกษาทางเลือก, หรือการสร้างงาน

 ดังนั้น ขบวนการ BRN ได้ใช้ยุทธศาสตร์ ‘สร้างอัตลักษณ์ผ่านศัตรู’ เพื่อยืดอายุแนวร่วม ใช้อุดมการณ์ “สร้างความเกลียดชังต่อรัฐบาลไทย” เพื่อปลูกฝังแนวคิดการแบ่งแยกดินแดนผ่านอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ศาสนา และประวัติศาสตร์ ทำให้เยาวชนในพื้นที่มองเจ้าหน้าที่รัฐเป็น “ศัตรู” ไม่ใช่แค่คู่ขัดแย้งทางการเมือง โดยการใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมต่อการใช้ความรุนแรงให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ไม่เอาBRN ไม่เอาบีอาร์เอ็น ไม่เอาความรุนแรงชายแดนใต้

แม่ทัพภาคที่4 แม่ทัพไพศาล

ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า