แม่ทัพภาคที่ 4 นำกำลังร่วม 3 ฝ่าย แถลงคุมเข้มสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง หลังจับกุมแรงงานและขบวนการนำพาได้จำนวนมากในพื้นที่ จชต.

692

    วันนี้ (22 ม.ค.2564) เวลา 09.00 น. ที่ ห้องประชุมยะลารวมใจ ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า พลโท เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วย พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 9 และ นายชัยสิทธิ์ พาณิชย์พงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ร่วมแถลง มาตรการควบคุมสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองและกวดขันจับกุมขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าว หลังจับกุมแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าทางช่องทางธรรมชาติได้แล้ว กว่า 600 คน

    โดยที่ผ่านมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการกวดขันจับกุมอย่างต่อเนื่อง  ตั้งแต่ 1  ตุลาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน มีสถิติการจับกุมจำนวน 86 ครั้ง จับกุมบุคคลต่างด้าวได้ 624  คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมาร์ 408 คน  กัมพูชา 64 คน  ลาว 76 คน  มาเลเซีย 21 คน  เวียดนาม 45 คน  บังคลาเทศ 1 คน  สัญชาติจีน 2 คน  และอื่น ๆ 26 คน ซึ่งสามารถจับกุมได้ในพื้นที่ชายแดนระหว่างการข้ามแดน  บริเวณด่านตรวจจุดสกัดในระหว่างการเคลื่อนย้าย  และจากการพิสูจน์ทราบพื้นที่หลบซ่อนพักพิง  ทั้งบริเวณแนวชายแดนและจุดพักคอยในพื้นที่ตอนใน พร้อมทั้งได้จับกุมผู้นำพาทั้งในระหว่างการเคลื่อนย้าย และระหว่างให้ที่พักพิง   รวมทั้งสิ้นจำนวน 15 คน นำไปสู่การพิสูจน์ทราบขยายผลบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับขบวนการนำพาบุคคลต่างด้าว จำนวน 13 ครั้ง ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดสงขลา และจังหวัดนครศรีธรรมราช

    สำหรับรูปแบบการนำพากลุ่มบุคคลต่างด้าวข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย มีวัตถุประสงค์เพื่อนำพาเดินทางออกจากประเทศมาเลเซีย ไปยังประเทศปลายทาง   โดยขบวนการนำพาออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มขบวนการนำพาบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา เวียดนาม ลาว โดยมีการประสานงานระหว่างนายหน้าของฝั่งประเทศไทย และนายหน้าของฝั่งประเทศมาเลเซีย เพื่อรวบรวมบุคคลจากประเทศมาเลเซีย  ที่ต้องการข้ามแดนมายังประเทศไทย พร้อมนัดหมายการเดินทาง ก่อนลักลอบเข้าประเทศโดย  ใช้ช่องทางธรรมชาติ ข้ามแม่น้ำโก-ลก โดยเรือยนต์รับจ้าง ที่มีการนัดหมายกันล่วงหน้า เมื่อข้ามมาแล้วจะมีรถยนต์มารับเพื่อเดินทางต่อ โดยใช้รถยนต์ส่วนบุคคล หรือรถตู้สาธารณะไม่ประจำทาง  หรือลักลอบพักพิงอยู่ในพื้นที่ โดยจะใช้สถานที่ บ้านเช่า รีสอร์ท หรือ โรงแรม  เพื่อรอการส่งต่ออีกทอดหนึ่งไปยังพื้นที่ตอนกลางของประเทศไทย ไปยังอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว หรือชายแดนจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  เพื่อลักลอบข้ามแดนกลับประเทศของตนเองต่อไป  และกลุ่มขบวนการนำพาบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาร์ โดยจะมีจุดพักหลักในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง  คือพื้นที่ อำเภอหาดใหญ่ และอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ก่อนจะมีกลุ่มนำพารับส่งอีกทอดหนึ่งไปยังพื้นที่ จังหวัดระนอง  เพื่อเดินทางไปประเทศเมียนมาร์ต่อไป

    พลโทเกรียงไกร  ศรีรักษ์  แม่ทัพภาคที่ 4  กล่าวว่า การควบคุมสกัดกั้น บุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ได้มีการกวดขันจับกุมขบวนการนำพาบุคคลต่างด้าวอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเพิ่มความเข้มงวดและควบคุมการปฏิบัติตามแนวชายแดน รวมทั้งเพิ่มมาตรการสกัดกั้นให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยได้จัดตั้งที่บังคับการทางยุทธวิธี ดูแลพื้นที่ตำบลปาเสมัส อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เพื่อพื้นที่อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอแว้ง  เพิ่มเติมด้วยการลาดตระเวนอย่างเข้มข้นทุกตารางนิ้ว  เสริมด้วยการสกัดกั้นทางน้ำ และเฝ้าตรวจแนวชายแดน ตลอด 24 ชั่วโมง โดยได้บูรณาการกำลังและเครื่องมือกับทุกภาคส่วน  ในการบังคับใช้กฎหมายตามแนวชายแดนอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้เสริมกำลังตามแนวชายแดน เฝ้าระวังป้องกันจุดล่อแหลมที่เป็นช่องทางข้ามแดนตามธรรมชาติทั้งทางบกและทางน้ำ  โดยเขตแดนแนวลำน้ำ ใช้กำลังชุดปฏิบัติการทางน้ำ ประสานงานร่วมกับทหารเรือ และตำรวจน้ำในการลาดตระเวนทางเรือ สำหรับในพื้นที่ป่าเขา  จัดกำลังกองร้อยเฉพาะกิจ เสริมการปฏิบัติงานของกำลังป้องกันชายแดน  เพิ่มเติมด้วยชุดปฏิบัติการจรยุทธ์  เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ ที่พบการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง รวมถึงเสริมระบบไฟส่องสว่าง  และเครื่องกีดขวาง  ปิดช่องทางธรรมชาติที่ผิดกฎหมาย  ตลอดจนซ่อมแซมรั้วชายแดนที่ถูกทำลาย นอกจากนี้ในช่องทางที่มีชุมชนหรือหมู่บ้านอาศัยอยู่ใกล้แนวชายแดน  ได้จัดตั้ง จุดตรวจ จุดสกัด รวมทั้งจัดตั้งแหล่งข่าว  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้น  การลักลอบการหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย  ส่วนการดูแลพื้นที่ตอนใน ใช้การบูรณาการกำลังร่วมกันกับภาคส่วนต่างๆ ทั้ง ทหาร ตำรวจ ปกครอง และ อสม. ค้นหาเชิงรุกในชุมชนและหมู่บ้าน  ตลอดจนสร้างความร่วมมือกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  และจัดตั้งเครือข่ายภาคประชาชน   เฝ้าระวัง เป็นหูเป็นตา ช่วยกันสกัดกั้นป้องกันตามแนวชายแดนเสริมอีกทางหนึ่ง  พร้อมชี้แจง สร้างความเข้าใจให้ประชาชน ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่อง  การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เพื่อ “ตัดต้นตอของขบวนการนำพา”  และเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการลักลอบการหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

    ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า  ได้ยกระดับมาตรการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019  ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน  ควบคู่กับการสร้างความปลอดภัยในชีวิต  และทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชน จึงขอความร่วมมือ ร่วมกันตรวจตรา สอดส่องบุคคล ที่ฝ่าฝืนมาตรการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หากพบเห็นโปรดแจ้งได้ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงหรือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ได้ทันที หรือโทรเข้ามายังหมายเลขสายด่วนแม่ทัพภาคที่ 4 ได้โดยตรง  ที่หมายเลข 0611732999 อย่าเห็นแก่ประโยชน์เล็กน้อยที่จะได้รับ ขอให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา แจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีหากพบเห็น เพื่อช่วยให้ประเทศของเราข้ามผ่านวิกฤต โควิด – 19  ระลอกใหม่นี้ไปด้วยกัน

ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า